เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดผิวหน้า
top of page

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดผิวหน้า



ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น และสิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือใบหน้าคนเรา ซึ่งจะบ่งบอกว่าคนผู้นั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ ดูแก่ก่อนวัยอันควรหรือเปล่า

       

พวกเราทำความสะอาดใบหน้ากันทุกวัน   พวกเราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ครับว่า บรรดาสารทั้งหลายที่นำมาใช้ทำความสะอาดผิวหน้ากันนั้น พวกมันมีผลอย่างไรต่อผิวหน้าของเรา   ครับฉบับนี้ผมจะขอพูดถึงสิ่งที่พวกเราแทบทุกคนใช้ในการทำความสะอาดใบหน้า และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผิวบนใบหน้าของเรา เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ แต่จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงการใช้สารต่างๆ ในการชำระล้างใบหน้า และหลีกเลี่ยงสารที่จะส่งผลเสียต่อใบหน้าของเรา



การทำความสะอาดใบหน้า

       

การทำความสะอาดใบหน้า มี 4 วิธีคือ

  1. ทำความสะอาดด้วยน้ำ

  2. ทำความสะอาดด้วยน้ำมัน

  3. ทำความสะอาดด้วยของแข็งที่ดูดซับสิ่งสกปรกไว้

  4. ทำความสะอาดด้วยการขัดถู

       

ผมจะขอพูดถึงวิธีแรกเท่านั้น   ส่วนวิธีที่ 2 และ 3 ไว้มีโอกาสแล้วผมจะพูดแทรกเป็นคราวไป   ส่วนวิธีที่ 4 เป็นเรื่องของแพทย์โดยตรงที่ทำกัน เช่นการทำ Peeling, การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เป็นต้น



การทำความสะอาดด้วยน้ำ

น้ำจัดเป็นสารทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด แต่น้ำไม่มีคุณสมบัติทำให้ผิวเปียกได้ดี   เนื่องจากผิวหนังคนเรามีสารเคอราตินอยู่ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเปียกได้   ดังนั้นการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะชำระสิ่งสกปรกออกไปได้หมด ซึ่งบางครั้งต้องใช้การขัดถูเข้ามาช่วย   จึงมีการเติมสารบางอย่างลงไปในน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดผิวให้ดีขึ้น เช่น แอลกอฮอร์ ซึ่งจะช่วยลดแรงตึงผิวระหว่างน้ำกับผิวหนังให้เปียกน้ำดีขึ้นและยังช่วยขจัดไขมันได้บางส่วน   

ด้วยเหตุนี้ จึงนิยมนำแอลกอฮอร์มาใส่ในเครื่องสำอางที่ใช้ในการทำความสะอาดผิว แต่ควรใช้ในปริมาณต่ำ เพื่อเลี่ยงการระคายเคืองต่อผิว

แอลกอฮอร์ที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ เอธิล แอลกอฮอร์ และไอโซโพรพีล แอลกอฮอร์   เอธิล แอลกอฮอร์จะให้ความสดชื่นได้มากกว่าและช่วยให้กลิ่นหอมของน้ำหอมแทรกซึมสู่ผิวได้ดีกว่า   ในขณะที่ ไอโซโพรพีล แอลกอฮอร์จะช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำได้ดีกว่า จึงสามารถจะใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าได้

นอกจากนี้ยังมีการนำสารอื่นๆ มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ด้วยการเพิ่มอำนาจการทำให้ผิวเปียกน้ำได้ดีขึ้น ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกที่หลุดไปกลับคืนสู่ผิว ซึ่งสารพวกนี้จะผสมอยู่ในรูปของสบู่

สบู่


สบู่เป็นสารทำความสะอาดผิวที่เก่าแก่ที่สุด เป็นที่นิยมแพร่หลาย ราคาถูก ใช้สะดวก   ส่วนใหญ่เป็นสารผสมของเกลือโซเดียมกับกรดไขมัน   ถ้าเป็นสบู่เหลวก็จะใช้เกลือโปตัสเซียมกับกรดไขม้น



มาดูกันครับว่าสบู่มีผลอย่างไรต่อการชำระล้างผิว

+1. ทำให้เกิดความเป็นด่าง   สบู่ทำให้เกิดสภาวะด่างชั่วคราวที่ผิวหนัง 5 – 10 นาที   จากนั้นจะกลับสู่สภาพปกติใน 30 นาที (ปกติผิวหนังคนเราจะมีสภาพเป็นกรด)


+2. สภาพความเป็นด่างจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้   เมื่อสัมผัสนานๆ จะเกิดความผิดปกติของโปรตีนในผิวหนัง (ชั้นเคอราติน) ทำให้ความต้านทานของผิวลดลง ทำให้สูญเสียความชื้นของผิว เป็นเหตุให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเจริญเติบโตได้ดี   ดังนั้นคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ อย่าเข้าใจผิดว่า ผิวหน้าของท่านจะสะอาดขึ้น

+3. ช่วยขจัดไขมัน เพื่อล้างเอาสิ่งสกปรกที่ละลายอยู่ในไขมันที่ผิวหนังออก   ผลที่ตามมาคือ การสูญเสียไขมันบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะส่งผลให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้น เกิดเป็นริ้วรอยที่ใบหน้าได้ง่าย


+4. ทำให้ผิวหนังพองตัว   สภาพความเป็นด่างมีผลทำให้เคอราตินที่ผิวหนังพองตัวมากขึ้น ซึ่งการพองตัวนี้จะไปเพิ่มอำนาจการซึมผ่านของสารอื่นๆ จากภายนอกเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น


+5. การดูดซับสบู่ของเคอราติน ทำให้เกิดเป็นชั้นฟิล์มบางๆ ที่ผิว ซึ่งจะป้องกันการดูดซึมของสารพวก emollient   เป็นผลให้ผิวเปราะบางและแตกแห้งได้

+6. เกิดความระคายเคือง ซึ่งเป็นผลจากกรดไขมัน   สบู่ที่ทำจากไขมันมะพร้าวจะระคายเคืองมากกว่าสบู่ที่เกิดจากไขมันวัว

+7. เกิดการตกตะกอนของสารแคลเซียม   การใช้สบู่กับน้ำกระด้างทำให้เกิดคราบตะกอนของแคลเซียมที่ผิวหนัง   เป็นผลทำให้รูขุมขนอุดตัน เกิดเป็นสิวเสี้ยนได้   ตะกอนนี้จะส่งเสริมให้แบคทีเรียเข้าไปในไขมันและไม่ถูกทำลายโดยสารฆ่าเชื้อ ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมไขมันได้ ซึ่งกลไกนี้ช่วยอธิบายการเกิดสิวบนใบหน้าของผู้หญิงที่ใช้เครื่องสำอางพวกครีม แล้วใช้สบู่ล้างหน้าด้วยน้ำกระด้าง

       

มีการพยายามนำสารอื่นๆ เช่น Castor oil, amphoteric surfactant เป็นต้น มาใช้ชำระล้างผิวแทนสบู่ โดยมีการศึกษาถึงข้อดีข้อเสีย รวมไปถึงมีการพัฒนาเครื่องสำอางทำความสะอาดผิวชนิดปราศจากสบู่ขึ้นมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม สบู่ก็ยังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากมีราคาที่ถูกและยังไม่มีสารชำระล้างใดที่จะลบล้างข้อเสียของสบู่ได้หมดนั่นเอง



หลักการถนอมผิวหน้าประจำวัน

       

ตอนนี้เรามาดูกันครับว่า จะมีหลักเกณฑ์อะไรในการดูแลรักษาผิวหน้าของพวกเราบ้าง

  • ชำระล้างผิวหน้าให้ถูกวิธี เพื่อขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อุดรูขุมขนออกจากผิวหน้าให้เกลี้ยง การชำระล้างที่ถูกวิธี หมายถึงการขจัดฝุ่นละอองคราบเหงื่อไคล และเครื่องสำอางออกให้หมดจด   อาจจะใช้ครีมล้างหน้า (Cleansing cream) เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ละลายในไขมันและเครื่องสำอางที่ใช้แต่งหน้าออกไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยการล้างด้วยสบู่ชนิดอ่อนหรือโฟมล้างหน้า ที่ล้างออกด้วยน้ำได้เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่หลงเหลืออยู่   หลังจากนั้นให้ล้างเอาคราบสบู่หรือโฟมเหล่านี้ออกให้หมดด้วยน้ำหลายๆ ครั้ง โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวพรรณควรมีสภาพความเป็นกรดด่าง (pH) ที่ใกล้เคียงกับพีเอชของผิวหนัง ซึ่งจะทำให้ผิวหนังเกิดความระคายเคืองน้อยที่สุด   สำหรับผิวหนังที่แพ้ง่าย ควรใช้สารทำความสะอาดที่ปราศจากไขมัน   สำหรับคนที่ใบหน้ามันมาก ให้ใช้สารชำระล้างใบหน้าที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (หรือ BHA), กำมะถันและกรดแอลฟาไฮดรอกซี (AHA)   บางคนอาจจะใช้พวกโทนเนอร์เช็ดหน้าหลังทำความสะอาดใบหน้า เพื่อช่วยกำจัดเอาสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ออกไป

  • ปรับสภาพผิวหน้าหลังจากชำระล้างใบหน้า เพื่อปิดรูขุมขนที่เปิดกว้างในขณะล้างหน้า ซึ่งจะช่วยป้องกันมิให้ฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในรูขุมขน เป็นการลดการอักเสบลงได้   ในขั้นตอนนี้ให้ใช้โลชั่นปรับสภาพผิว ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์และสารฝาดสมาน เพื่อทำหน้าที่ปิดรูขุมขน

  • ทาผิวด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ เพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื้นนุ่มนวลขึ้น และป้องกันการสูญเสียความชื้นที่ผิวหน้า เป็นการช่วยลดริ้วรอยลงได้ สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเป็นสิวง่าย ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ หรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นไม่มากนัก   ส่วนคนที่มีผิวมันและเป็นสิว อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก็ได้   ส่วนในคนที่มีปัญหาเรื่องผิวแพ้ง่าย มอยส์เจอไรเซอร์ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำหอม หรือ AHA อยู่ด้วย

       

การจะเลือกเครื่องสำอางที่ใช้ชำระล้างผิวหน้า, โทนเนอร์, โลชั่นหรือมอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งมีอยู่มากมายในท้องตลาด ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปเลือกสินค้าแบรนด์เนมหรือสินค้าที่มีราคาสูงเสมอไป   แต่ควรจะดูว่าเหมาะสมกับผิวหน้าของเราหรือไม่ และถ้าใช้แล้วเกิดมีผื่นคันแดงขึ้น ให้รีบหยุดใช้ทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวที่เราใช้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้วก็ตาม แล้วรีบไปปรึกษาแพทย์





bottom of page