หลักเกณฑ์และแนวทางการดูแลผิวพรรณ — ให้เหมือนกับมืออาชีพ!
top of page

หลักเกณฑ์และแนวทางการดูแลผิวพรรณ — ให้เหมือนกับมืออาชีพ!




เมื่อคุณจะต้องดูแลผิวพรรณของลูกค้า คุณต้องรู้ว่า คุณควรจะให้คำแนะนำอะไรแก่เขาบ้าง? คุณควรจะรู้ว่า ผลิตภัณฑ์อะไรของคุณที่เหมาะสมกับสภาพผิวของลูกค้าของคุณ และผลที่จะตามมาจากการใช้ จะเป็นอย่างไร?


ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ ถ้าคุณเป็นแพทย์ผิวหนัง หรือพนักงานที่ดูแลผิวพรรณผู้มากด้วยประสบการณ์ คุณอาจจะไม่กังวลกับปัญหาพวกนั้น


แต่ถ้าคุณไม่ใช่ละ... คุณจะทำอย่างไร?

คุณจะแนะนำลูกค้าของคุณอย่างไรเพื่อให้เขาเกิดความเชื่อมั่นในตัวคุณและยอมควักเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ — นี่คือหัวใจที่ผมจะมาพูดให้คุณฟังในวันนี้


ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจอะไร? — ตั้งแต่คลินิกผิวหนัง คลินิกเลเซอร์ คลินิกศัลยกรรมความงาม ร้านจำหน่ายเครื่องสำอางทั้งแบรนด์เนมหรือร้านเครื่องสำอางขนาดเล็ก รวมไปถึงธุรกิจสปาและ MLM คุณก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งสิ้น


เรามาเริ่มกันเลยครับ: —


ก่อนที่คุณจะรู้จักไกด์ไลน์นี้ ผมขอแนะนำให้คุณได้ศึกษาและเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของคุณให้ดีควบคู่ไปด้วย คุณควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมีส่วนประกอบที่สำคัญเป็นอะไร? เหมาะกับสภาพผิวลูกค้าประเภทไหน? ผลลัพธ์จากการใช้น่าจะเป็นอย่างไร? — เมื่อคุณรู้จักผลิตภัณฑ์ของคุณดีแล้ว คุณก็จะรู้ว่า ผิวของลูกค้าลักษณะนี้เหมาะกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อะไรของคุณ?

นั่นหมายความว่า คุณสามารถวางแผนการดูแลรักษาผิวพรรณให้กับลูกค้าของคุณได้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าของคุณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจและพึงพอใจให้กับลูกค้าของคุณได้ และจะนำมาซึ่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อผลิตภัณฑ์ของคุณ!



AGING GRADES



ในทางการแพทย์ได้กำหนดเกณฑ์ เพื่อเป็นแนวทางประเมินสภาพผิวของคนไข้ตามอายุของผิว สำหรับใช้ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงเพื่อใช้ในการประเมินผลในการรักษาและติดตาม



โดยแบ่งเป็นเกรดตั้งแต่ เกรด 0 (วัยรุ่น) ถึง เกรด 5 (วัยชรา) ซึ่งในแต่ะเกรดได้ใช้สภาพริ้วรอยความยืดหยุ่นของผิวที่ปรากฏบนใบหน้าเป็นหลัก (ไม่ได้ใช้อายุของคนไข้เป็นเกณฑ์) และแนะนำแนวทางและหลักในการรักษาผิวโดยผู้ชำนาญการ (Professional Care) และการดูแลผิวเองที่บ้าน (Home Care) รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในแต่ละเกรด


*** การแบ่งเกรดนี้ดัดแปลงมาจาก Glogau Classification of Photoaging และ Rubin Classification of Aging


เกรด 0: ผิวดูอ่อนวัย, สดใส มีความเต่งตึงและยืดหยุ่นสูง


หลักในการรักษาผิวประเภทนี้ จะไม่เน้นเรื่องการซ่อมแซม แต่ให้เน้นไปที่การปกป้องดูแลผิวให้พ้นจากสภาวะต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิวได้ การรักษาที่มากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น   นอกจากนี้การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดที่มีเปอร์เซ็นต์สูงเกิน ก็เป็นเหตุให้ระคายเคืองต่อผิวและอาจจะเป็นเหตุให้ผิวดูแก่ก่อนวัยได้






Professional Care: - ควรใช้สารต้านอนุมูลอิสระ เช่นวิตามินซี ที่จะช่วยปกป้องผิวและทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากการถูกกับแสงแดด เนื่องจากคนที่มีผิวแบบนี้มักจะเป็นวัยรุ่น ที่รักการออกกำลังกายและชอบทำอะไรกลางแดดเสมอ


การมาส์คหน้าด้วยวิตามินซีและให้ความชุ่มชื้นต่อผิว จะช่วยให้วิตามินซีสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ง่าย นอกจากนี้การขัดผิวเบาๆ หรือการทำทรีตเม็นต์ด้วยเอ็นไซม์ก็ควรทำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยทำความสะอาดผิวได้ล้ำลึกและสะอาดเกลี้ยงเกลายิ่งขึ้น


Home Care: - ตอนเช้าให้ใช้ครีมกันแดดที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนกลางคืนให้ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ส่วนรอบดวงตา แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระและสารให้ความชุ่มชื้นผิว การทำสครับผิวสัปดาห์ละครั้งจะช่วยรักษาสมดุลของสารเคอราตินที่ผิวหนังและทำให้สารออกฤทธิ์ต่างๆ ซึมผ่านผิวได้ง่ายขึ้น


นอกจากนี้ควรให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของแสงแดดที่มีต่อผิวหนัง เพื่อหลีกเลี่ยงผลที่จะตามมาในภายหลัง



เกรด 1: เริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อยรอบดวงตา เฉพาะตอนแสดงอารมณ์ แต่ผิวยังคงกระชับเต่งตึงและมีความยืดหยุ่น



ผิวยังคงสภาพดี แต่ไม่สดใสและเต่งตึงเท่ากับเกรด 0 แนวทางการรักษายังคงเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลัก แต่ให้ความสำคัญกับการคงสภาพผิวให้เหมือนเดิมมากที่สุด ควรให้มีการผลัดเซลล์ผิวที่ไม่รุนแรงเกินไป







Professional Care: - ควรให้สารต้านอนุมูลอิสระและกรดไฮยารูโลนิกอย่างเต็มที่ การมาส์คหน้าด้วยวิตามินซีควรทำ เพื่อช่วยคงสภาพผิวให้สมดุลและลดสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น การทำทรีตเม็นต์ด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น Glycolic acid 3 – 5% นาน 1 – 5 นาที ทุกเดือน หรือขัดผิวเบาๆ ด้วยเครื่องขัดผิวเกร็ดอัญมณี หรือจะใช้สครัปผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สครัปผิวที่ให้ความชุ่มชื้นสูงต่อผิวก็ได้ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเร็วขึ้น ผิวจึงแลดูสว่างไสว สดใสมากขึ้น


หลีกเลี่ยงการใช้กรดผลไม้เปอร์เซ็นต์สูง นอกเสียจากว่าผิวของลูกค้าจะหมองคล้ำและกร้านเร็วกว่าปกติ ซึ่งคุณควรจะพิจารณาเป็นกรณีไป


Home Care: - ดูแลเช่นเดียวกับเกรด 0 แต่ให้ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระทุกคืน และควรทำการมาส์คหน้าด้วยวิตามินซีเสร็จแล้วตามด้วยทำสครัปผิวหน้า 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และรอบดวงตาควรทำทรีตเม็นต์ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และสารต้านวัยชรา (Anti-aging) และมอยซ์เจอไรเซอร์



เกรด 2: ริ้วรอยรอบดวงตาชัดขึ้นในตำแหน่งที่แสดงอารมณ์และที่หน้าผาก เริ่มสังเกตมีร่องแก้มตื้นๆ ผิวลดความกระชับและลดความเต่งตึงลง




การรักษาจำเป็นต้องเน้นการซ่อมแซมผิวบางส่วน ควบคู่กับการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวให้มากขึ้นและดูแลผิวให้คงความชุ่มชื้นสูง








Professional Care: - ขั้นแรก ควรเน้นการผลัดเซลล์ผิว เพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป และเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์ Home Care ในการซึมผ่านผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น หลังจากนั้นให้ลูกค้ากลับไปทำ Home Care program ต่อที่บ้าน 2 – 4 สัปดาห์ เสร็จแล้วแนะนำให้ลูกค้าทำทรีตเม็นต์ผิวหน้าต่อเนื่องราว 2 คาบต่อปี (คาบละ 3 – 6 ทรีตเม็นต์ ด้วยกรดผลไม้ 5 – 15% นาน 3 – 5 นาที) ในช่วงระหว่างที่ทำทรีตเม็นต์ต่อเนื่องนี้ แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารมอยซ์เจอไรเซอร์สูง ร่วมกับการขัดเซลล์ผิวด้วยเครื่องกรอผิวเป็นระยะ เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวได้ดียิ่งขึ้น


Home Care: - ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงในตอนเช้าและก่อนนอน เช่น Cleanser หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ Glycolic acid 15% เป็นต้น ซึ่งแนะนำให้ใช้กลางคืน ทุก 2 – 3 วัน ส่วนมอยซ์เจอไรเซอร์จำเป็นต้องเน้นให้มีกรดไฮยารูโลนิกในเปอร์เซ็นต์ที่สูง และควรมีสาร Antioxidant ร่วมไปด้วย ส่วนการดูแลผิวรอบดวงตาควรมีสารมอยซ์เจอไรเซอร์และสาร Antioxidant ที่สูง และถ้าจะให้ดีควรมีสารลดริ้วรอยกลุ่มเปปไทด์ด้วย เช่น Argeriline จะช่วยได้มาก ผลิตภัณฑ์ที่เน้นการป้องกันควรมีสารอย่างเช่น ธาตุทองแดง จะช่วยยับยั้งความชราของผิวได้



เกรด 3: ริ้วรอยเกิดขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจน เริ่มสังเกตมีร่องลึกเกิดขึ้นในบริเวณที่แสดงอารมณ์ ร่องแก้มลึกขึ้นชัดเจน สีผิวอาจจะเข้มขึ้นหรือเป็นกระบางส่วน   ผิวหนังบริเวณคอ, ใบหน้าช่วงล่าง, รอบตาและหน้าผากหย่อนยานไม่กระชับเต่งตึง



ลูกค้าจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูและซ่อมแซมที่ถูกวิธีตั้งแต่เริ่มแรก ร่วมกับมีการผลัดผิวอย่างสม่ำเสมอ การดูแลที่บ้านควรเพิ่มความเข้มข้นและทำจริงจังมากขึ้น ควรตรวจดูแลผิวลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาและการดูแลที่บ้านให้เหมาะสมตามความจำเป็น เพราะในขั้นนี้ การดูแลรักษาที่น้อยไปหรือมากเกินไปจะมีผลให้ผิวดูแย่

ลงได้





Professional Care: - ควรให้การดูแลที่สูงขึ้นอีกระดับและก่อนอื่น จำเป็นต้องใช้เอนไซม์ (Papain ที่มีในมะละกอ เป็นต้น) ร่วมกับการดูแลที่บ้านให้เหมาะสม เพื่อรักษาสภาพสมดุลของผิวหนังและยังเป็นการเตรียมพร้อมก่อนให้การรักษา


การรักษาในขั้นนี้ ควรใช้กรดผลไม้ เช่น Glycolic acid 30 – 40% เพื่อผลัดผิวหน้า ปีละ 2 คาบ โดยทำ 6 ทรีตเม็นต์ต่อคาบ ถ้าผิวหน้าตอบสนองดีในระยะ 2 – 3 ทรีตเม็นต์แรก ให้เสริมด้วยการทำ Microdermabrasion 1 ครั้ง (อาจจะกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณีก็ได้)


ผิวของลูกค้าบางคนอาจจะตอบสนองดีด้วยการผลัดเซลล์ผิวปีละ 2 ครั้งด้วยกรด TCA เปอร์เซ็นต์ต่ำก็ได้ ร่วมกับการทำทรีตเม็นต์ด้วยสารผลัดเซลล์ผิวอื่น ต่อเนื่องกันเดือนละครั้งติดกัน 3 เดือน ในระหว่างนี้ลูกค้าจำเป็นต้องใช้เอ็นไซม์ทำความสะอาดผิว ตามด้วยมาร์คหน้าที่มีสารมอยส์เจอไรเซอร์สูง (แนะนำให้ใช้เป็นตัวมาส์คหน้าที่มีกรด papain จากมะละกอ) และสาร Antioxidant และสารที่ช่วยเสริมสร้างผิว


Home Care: - การดูแลที่บ้านควรทำเหมือนกับเกรด 2 และเสริมด้วย Cleanser ที่มีสาร Antioxidant ในตอนเช้าและ Cleanser ที่ผลัดเซลล์ผิวในตอนเย็นเป็นประจำทุกวัน ผลิตภัณฑ์ทรีตเม็นต์ควรมีสารที่ช่วยเสริมสร้างผิวในเปอร์เซ็นต์ที่สูง เช่น พวกเปปไทด์ (Dermaxyl/Argeriline)


สารผลัดเซลล์ผิวมีความสำคัญมากสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะผิวในวัยนี้จะมีอัตราการผลัดเซลล์ผิวที่ช้าและสารพวก AHA จะไปเร่งการขบวนการนี้ให้เร็วขึ้น


ดังนั้นในโปรแกรมการดูแลผิวที่บ้านจึงต้องมีพวก AHA หรือสารในกลุ่มวิตามินเอ (Retinol) อยู่ด้วยราว 2 – 4 สัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวใสก็จำเป็นด้วยในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะคนที่มีประวัติที่ถูกแสงแดดบ่อยเป็นเวลานาน สำหรับสารที่ช่วยซ่อมแซม DNA ก็จำเป็นด้วยเช่นกัน


นอกจากนี้การดูแลผิวรอบดวงตาควรมีสารมอยซ์เจอไรเซอร์และสารที่ช่วยลดขอบตาดำคล้ำและลดถุงใต้ตา



เกรด 4: เริ่มเห็นร่องผิวลึกและร่องแก้มลึกขึ้น และมีเส้นที่หน้าผากชัดเจน, มีกระและผิวบริเวณลำคอ ใบหน้าช่วงล่าง รอบตาและหน้าผากหย่อนยานไม่กระชับ




ในกลุ่มนี้จำเป็นต้องให้การซ่อมแซมและผลัดเซลล์ผิวในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งในระยะแรก การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกับการดูแลรักษาที่เหมาะสม จะสามารถทำให้สภาพผิวกลับไปสู่เกรด 2 หรือเกรด 3 ได้







Professional Care: - ประกอบด้วยการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ในเปอร์เซ็นต์สูง (Glycolic acid 50 – 70%) 2 คาบต่อปี หรืออาจจะใช้กรด TCA 25 – 30% ก็ได้ในการลอกเซลล์ผิวเพียงครั้งเดียว (ทำราว 1 ถึง 2 ครั้งต่อปี) การหมั่นคอยดูแลผิวหน้าโดยผู้ชำนาญการหรือแพทย์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่ผิวอย่างใกล้ชิด


Home Care: - ควรเริ่มด้วยโปรแกรมปรับสภาพผิว ที่มีกรดวิตามินเอหรือ AHA ที่เข้มข้น เพื่อที่จะเร่งการผลัดเซลล์และเสริมสร้างคอลลาเจน แนะนำให้เตรียมสภาพผิวก่อนผลัดเซลล์ผิวที่บ้านก่อนด้วยสาร AHA หรือกรดวิตามินเอ ประมาณ 2 ถึง 4 สัปดาห์ ก่อนทำการรักษาด้วยกรด TCA หรือ Glycolic acid


สารมอยส์เจอไรเซอร์ควรใช้กรดไฮยารูโลนิกเปอร์เซ็นต์สูงร่วมกับสารอื่น เช่น สาร Antioxidant และสารที่ช่วยเสริมสร้างผิว สารกลุ่มเปปไทด์ในเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะสมก็ช่วยได้มาก ส่วนสารที่ซ่อมแซม DNA ก็ยังคงมีความจำเป็น


ธาตุทองแดง (Copper) ก็เป็นหัวใจสำคัญสำหรับเกรดนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้หน้าขาวใสก็มีความสำคัญ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแสงแดดที่ไปเร่งการทำลาย

การดูแลรอบดวงตาควรเน้นพวกมอยส์เจอไรเซอร์ และมีสารที่รักษารอยดำคล้ำรอบตา



เกรด 5: ร่องผิวและร่องแก้มก็ลึกอย่างชัดเจน, เข้าสู่วัยชรา, ผิวบริเวณลำคอ ใบหน้าช่วงล่าง รอบตาหย่อนยานและไม่กระชับ ที่บริเวณหน้าผากมีร่องลึกและมีกระขึ้นชัดเจน


Professional care: - ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ศัลยกรรมความงาม เพราะการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกและการทำเลเซอร์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างและฟื้นฟูผิวหนังชั้น Dermis ที่ถูกทำลายและผิวหนังชั้น Epidermis ที่บางตามวัย


ถ้าเป็นไปได้ ควรรักษาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ การให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลี่ยงแสงแดดก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในระหว่างที่แผลกำลังหาย เพราะการผลัดเซลล์ผิวที่ลึก และเลเซอร์จะทำให้ผิวในช่วงนี้ไวต่อแสงแดดมาก



Home Care: - แนะนำให้ใช้สาร AHA หรือกรดวิตามินเอในระยะแรกก่อนให้การรักษาด้วยแพทย์ การดูแลหลังให้การรักษา แนะนำให้ใช้กรดไฮยารูโลนิก, ธาตุทองแดงและครีมกันแดดในระหว่างที่รอให้ผิวหนังชั้น Epidermis สร้างเสร็จเรียบร้อย



ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผิวหนัง, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม, ศัลยแพทย์ความงาม, พนักงานให้คำแนะนำด้านการดูแลผิวพรรณที่มีประสบการณ์สูง... ไปจนถึงผู้ที่กำลังจะเริ่มต้น และมือใหม่ที่สนใจอยากจะเริ่มทำธุรกิจความงามหรือแม้แต่ผู้ที่ซื้อสินค้าไปใช้ – คุณก็สามารถจะนำไกด์ไลน์ที่ผมจะแนะนำนี้ไปใช้ได้


สำหรับมือใหม่ ผมแนะนำให้คุณฝึกใช้บ่อยๆ ไม่นานคุณจะซึมซับทั้งหมดและเวลาคุณตรวจดูสภาพผิวลูกค้า ลูกค้าจะมั่นใจในตัวคุณมากขึ้น เพราะพวกเขาจะรู้สึกว่าคุณมีหลักการในการดูแลผิว — นี่แหละครับคือ สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ในวันนี้ มันจะช่วยให้ธุรกิจของคุณไปได้อย่างดี


อีกอย่างที่ผมอยากจะขอย้ำก่อนจะจบก็คือ ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณให้ดี เพราะคุณต้องแนะนำให้สอดคล้องกับสภาพผิวของลูกค้าของคุณ




bottom of page