น.พ.บรรลือ กองไชย
2 มิ.ย. 2566
การกิน NMN ให้ผลในการรักษาโรคไขมันพอกตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี 2016 คาดการณ์ว่า ทั่วโลกมีคนน้ำหนักเกินเกณฑ์เกือบ 2 พันล้านคน และในจำนวนนี้ 35% เป็นโรคอ้วน ตามเกณฑ์ของ WHO ถ้าอัตราการเติบโตของคนที่น้ำหนักเกินเกณฑ์ยังสูงแบบนี้ต่อเนื่อง คาดกันว่าในปี 2030 จะมีคนที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์หรืออ้วนสูงเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก (ตามรายงานของ McKinsey Global Institute) โรคอ้วนนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดหลายโรคด้วยกัน เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, กระดูกพรุน และโรคระบบทางเดินหายใจเป็นต้น พฤติกรรมการกินที่มากเกินและการออกกำลังกายน้อยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และมีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต
ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) เป็นแหล่งสร้างพลังงานที่สำคัญในระดับเซลล์ และมีความสำคัญต่อการรักษาโรคต่างๆ ที่มากับความอ้วน ซึ่งสารที่มีบทบาทสำคัญนี้คือ NAD+ (Nicotinamide adenine dinucleotide) ที่จะช่วยในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ และซ่อมแซม DNA และเซลล์ต้นกำเนิดทั่วร่างกาย
งานวิจัยนี้ได้ทำการทดลองในหนูเพศเมียที่เป็นโรคอ้วน โดยให้กิน NMN และการออกกำลังกาย พบว่าระดับของ NAD+ ในเลือดสูงขึ้น มีการตรวจพบระดับของ NAD+ ในกล้ามเนื้อและที่ตับ บ่งชี้ว่า NMN จะช่วยเพิ่มระดับของ NAD+ ที่กล้ามเนื้อและตับอย่างชัดเจน ในขณะที่การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มระดับ NAD+ เฉพาะที่กล้ามเนื้อเท่านั้น
ผลการทดลองนี้ทำให้เห็นความแตกต่างของการกิน NMN และการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยบอกได้ว่า การกิน NMN จะช่วยในการรักษาโรคอ้วนและโรคไขมันพอกตับ และทีมนักวิจัยยังมีความเห็นว่า การกิน NMN จะช่วยให้มีการทำงานของไมโตคอนเดรียที่ตับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่กล้ามเนื้อ
ดังนั้นการรักษาด้วย NMN จะให้ผลในการรักษาโรคไขมันพอกตับได้มีประสิทธิภาพกว่าการออกกำลังกาย